วิธีปฏิบัติเพื่อท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยห่างไกลจากโควิด 19

วิธีปฏิบัติเพื่อท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยห่างไกลจากโควิด 19

ในสถานการณ์ไวรัสโควิด 19 ระบาดเป็นวงกว้าง ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก ในวงการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักไม่ต่างกับธุรกิจการบิน การเดินทาง แต่หลังจากนี้เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย โดยมีการฉีดวัคซีนป้องกัน รวมไปถึงมียอดผู้ติดเชื้อที่ลดลง ผู้คนก็ต่างอยากออกมาใช้ชีวิตอย่างปกติเช่นเดิม แม้ว่าหลายคนอยากจะออกไปท่องเที่ยวดังเช่นเคย อาจจะยังมีความรู้สึกที่วิตกกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด 19 อยู่บ้าง ดังนั้น วิธีปฏิบัติตนเองให้ปลอดภัย เมื่อออกท่องเที่ยวภายนอกก็สามารถทำได้ง่ายๆ เป็นวิธีการเดินทางท่องเที่ยวอย่างสบายใจ ปลอดภัย ไร้ความเสี่ยงได้ ดังนี้

  1. หมั่นอัพเดทข่าวสารข้อมูลอยู่เสมอ

การหมั่นติดตามข่าวสารของการระบาดของไวรัสโควิด 19 นั้น จะทำให้คุณได้เกาะติดกับสถานการณ์มากขึ้น และสามารถทราบได้ทันที่ว่าพื้นที่ หรือสถานที่ใดบ้างที่มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่ม หรือมีความเสี่ยงสูง โดยสามารถติดตามได้จากศูนย์ข้อมูล Covid-19 (ศบค.) ทั้งนี้สามาถโหลดแอพพลิเคชั่นสำหรับติดตามข่าวสารได้เช่นกันที่ แอพพลิเคชั่น Away Covid-19 อีกด้วย

  1. สวมหน้ากากอนามัย

บางพื้นที่ได้ออกกฎหมายเกื่ยวกับการสวมใส่หน้ากากอนามัยในทุกครั้งที่ออกจากสถานที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม โดยเฉพาะแหล่งชุมชน ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่ขนส่ง สนามบิน ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา และมีคนพลุกพล่านอยู่ตลอดด้วย ทั้งนี้อย่าลืมพกพาเจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ติดตัวไว้อยู่เสมอ เพราะเชื้อโรคแม้จะอยู่ในอากาศไม่นาน แต่มักจะติดอยู่กับสิ่งของที่เรามักจะลืมตัวเผลอจับอยู่เป็นประจำ อย่างลูกบิดประตู ปุ่มกดลิฟท์ เป็นต้น และควรล้างมืออยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญหากใช้เจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ล้างมือ ควรทำเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที จึงจะฆ่าเชื้อได้นั่นเอง

  1. เดินทางด้วยพาหนะส่วนตัว

แม้ว่าการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะนั้น จะทั้งประหยัด สะดวก รวดเร็ว แต่ควรใช้เดินทางเมื่อจำเป็นจริงๆ จะดีกว่า เพราะมักจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาเปลี่ยนกันใช้งาน ดังนั้น การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวจะปลอดภัยมากกว่า ถึงจะมีค่าใช้จ่ายอย่างเรื่องค่าน้ำมัน หรือจำเป็นต้องขับเอง แต่ในเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับไวรัสระบาดปลอดภัยกว่าแน่นอน

  1. Social Distancing

การเว้นระยะห่าง เพื่อความปลอดภัยด้านสุขอนามัย โดยเว้นระยะห่างกับคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร ลดโอกาสในการกระจายของไวรัส รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการสัมผัสที่ไม่จำเป็นอีกด้วย

  1. เลือกทานอาหารที่ปรุงสุก

การเลือกทานอาหารที่ไม่ใช้มือจับ และเป็นอาหารที่ปรุงสุกเท่านั้น จะช่วยในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสไปได้อีกระดับหนึ่ง รวมไปถึงการทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างวิตามินซีเพื่อจะได้เป็นการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับตนเองได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หากนักท่องเที่ยวระวังตนเอง หรือเที่ยวอย่างมีสติ ก็จะปลอดภัยและสามารถท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุข ผ่อนคลาย สบายใจอีกด้วย

Continue Reading

4 ประเทศน่าเที่ยวหลังโควิด 19 ไปเที่ยวได้สบายใจหายห่วง

4 ประเทศน่าเที่ยวหลังโควิด 19 ไปเที่ยวได้สบายใจหายห่วง

จากสถานการณ์ไวรัสตัวร้ายอย่างโควิด 19 ทำให้การท่องเที่ยวทั้งในประเทศและท่องเที่ยวต่างประเทศถึงขั้นซบเซา แต่ในระหว่างนี้ ได้เริ่มมีการให้ผู้คนเริ่มฉีด วัคซีนป้องกันโรคโควิด กันมากขึ้น แม้แต่ในประเทศไทยเองก็เริ่มทยอยให้ผู้คนเริ่มมีการฉีดวัคซีน รวมไปถึงยังมีแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยมีแคมเปญหลากหลายที่ออกมาเพื่อสนับสนุนให้ผู้คนออกท่องเที่ยวกันมากขึ้น โดยประเทศที่น่าท่องเที่ยวในช่วงหลังวิกฤตโควิด 19 นั้น มีหลายประเทศ แต่ 4 ประเทศนี้ ถือเป็นประเทศที่รับมือกับสถานการณ์โควิด 19 ได้เป็นอย่างดี สามารถไปเที่ยวได้แบบสบายใจ มีดังนี้

  1. สหรัฐอเมริกา

แน่นอนว่าประเทศสหรัฐอเมริกาต้องเจอกันวิกฤตจากโควิด 19 เพราะมีทั้งยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นสูง รวมไปถึงยอดผู้เสียชีวิตค่อนข้างมาก แต่ในปัจจุบันสหรัฐอเมริกาได้มีการรับมือเป็นอย่างดี โดยในปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนให้กับประชากรในประเทศ และยังมีแผนในการฉีดวัคซีนให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศอีกด้วย ที่สำคัญ สหรัฐอเมริกายังขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีทั้งความเจริญด้านเทคโนโลยี และธรรมชาติอย่างเต็มเปี่ยม เป็นประเทศที่น่าท่องเที่ยวไม่น้อยอีกด้วย

  1. ออสเตรเลีย

ไม่ไกลจากเอเชียบ้านเรานัก อีกทั้งยังใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน บางพื้นที่ของออสเตรเลียสภาพภูมิอากาศใกล้เคียงกับบ้านเรา ทำให้ไม่ต้องปรับตัวมากนัก อีกทั้งการได้ไปท่องเที่ยวออสเตรเลียนั้นมีทั้งสถาปัตยกรรมชั้นนำของโลก และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่น่าสนใจไม่น้อย เรียกได้ว่า เที่ยวออสเตรเลียที่เดียวแต่ครบทุกรสชาติอย่างแน่นอน

  1. ไต้หวัน

ไต้หวันเป็นประเทศที่ตั้งรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเริ่มมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้ ใช้เวลาเดินทางไม่นานและที่สำคัญค่าเงินก็ไม่ต่างกับบ้านเรามากนัก และมีเที่ยวบินไปยังไต้หวันหลากหลายสายการบิน เป็นประเทศที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ และมีความเป็นระบบระเบียบอย่างดี เป็นประเทศที่สวยงาม และยังมีความเป็นประชาธิปไตยสูง มีความเจริญทั้งทางด้านสังคม สภาพแวดล้อม ความเจริญด้านเทคโนโลยี และยังมีวัฒนธรรมที่น่าศึกษาไม่น้อยทีเดียว

  1. มัดดีฟส์

หมู่เกาะมัลดีฟส์ได้จัดแคมเปญต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบระยะยาว โดยการเสนอให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 โดยจะเริ่มฉีดให้เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศ และต้องอยู่ยาวให้ครบ 21 วันถึงจะฉีดวัคซีนป้องกันเข็มที่ 2 ได้ เป็นเหมือนการเชิญชวนนักท่องเที่ยวได้อีกทาง นอกเหนือจากนี้หมู่เกาะมัลดีฟส์เป็นสถานที่เที่ยวตามธรรมชาติที่สวยงาม กินขาดและยังมีค่าเงินไม่สูงอีกด้วย

อย่างไรก็ตามการท่องเที่ยวในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ต่างก็มีความน่าสนใจกันไปคนละแบบ ได้แต่หวังว่าหลังจากสถานการณ์ไวรัสโควิด 19 ภาคของการท่องเที่ยวทั่วโลกจะดีขึ้นในเร็ววันด้วยนั่นเอง

Continue Reading

4 เกาะสวย น้ำใส ในเมืองไทยไม่ไปไม่ได้แล้ว

4 เกาะสวย น้ำใส ในเมืองไทยไม่ไปไม่ได้แล้ว

หลายคนที่ต่างก็เครียดจากสถานการณ์ไวรัสโควิด 19 ระบาด อีกทั้งพิษจากภาวะเศรษฐกิจที่รุมเร้าอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา การได้ออกไปท่องเที่ยวเป็นอีกสิ่งที่ช่วยบรรเทาความเครียด และยังเปรียบเสมือนการได้ชาร์จแบตทั้งพลังกาย พลังใจให้กับร่างกายอีกด้วย ทะเลหรือหมู่เกาะต่างๆ ในประเทศไทยนั้น ยังมีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติที่คงไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย โดย 5 ทะเลที่เป็นหมู่เกาะ หาดทรายละเอียดสวย น้ำทะเลสีฟ้าใส ที่ยังรอต้อนรับนักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมเยือน มีดังนี้

  1. เกาะล้าน

เป็นเกาะสวยในจังหวัดชลบุรี ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ทั้งยังมีวิวทิวทัศน์สวย และรีสอร์ทที่พักหลากหลายแนวบนเกาะ รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะได้เพลิดเพลินทั้งวัน บรรยากาศแบบชาวทะเล โดยสามารถเดินทางไปมาได้สะดวกสบาย เป็นอีกเกาะจากทะเลฝั่งอ่าวไทยที่ได้รับความนิยมจากทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติอีกด้วย

  1. เกาะช้าง

ถ้านึกถึงทะเลฝั่งอ่าวไทย ก็ต้องไม่พลาดเกาะช้าง ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ โดยเกาะช้างนั้นเป็นเขตหนึ่งของจังหวัดตราด ที่อยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศ การเดินทางก็ไม่ยุ่งยากเพราะมีท่าเรือเฉพาะที่มุ่งตรงไปยังเกาะช้างได้ทันที และยังสามารถนำรถยนต์ไปขับที่เกาะช้างได้โดยการขับรถขึ้นไปบนเรือโดยสารขนาดใหญ่ได้อีกด้วย ทั้งนี้ธรรมชาติบนเกาะช้างนั้นยังคงสภาพที่อุดมสมบูรณ์ โดยสามารถเที่ยวได้ทั้งครอบครัว บนเกาะมีทั้งน้ำตกและจุดชมวิวพร้อมกิจกรรมที่หลากหลาย จนนักท่องเที่ยวที่ได้มาแล้วต้องกลับมาอีกรอบแบบไม่พลาดแน่นอน

  1. ภูเก็ต

เกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่ไม่ว่าใครก็ต้องได้ไปเที่ยวซักครั้งหนึ่งในชีวิต ภูเก็ตมีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม และยังเต็มไปด้วยศิลปะ วัฒนธรรมตามแบบฉบับชาวใต้ ชาวเลอย่างเต็มร้อย และยังเป็นเมืองที่มีความเจริญในทุกรูปแบบ มีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม สถานบันเทิงที่เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผีเสื้อราตรี นักเที่ยวกลางคืน หรือแม้แต่กลุ่มที่ชื่นชอบศิลปะแนวโปรตุกีส เพราะในสมัยก่อนเกาะภูเก็ตได้รับอิทธิพลจากฝั่งมลายูมาค่อนข้างมาก เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์อย่างไม่รู้ลืม

  1. เกาะสมุย

หมู่เกาะฝั่งทะเลอันดามันที่ขึ้นชื่อจากฟูลมูนปาร์ตี้ แต่ไม่ได้มีดีเพียงแค่นั้น เกาะสมุยยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ เพราะมีธรรมชาติที่งดงาม แนวปะการังที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ เป็นที่ชื่นชอบของคนรักธรรมชาติ สายลม และทะเลเป็นอย่างยิ่ง แต่ทั้งนี้ค่าครองชีพที่เกาะสมุยก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจเหมาะกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากกว่า เพราะมีค่าครองชีพค่อนข้างสูง แต่ในปัจจุบันคนไทยก็นิยมไปเที่ยวไม่น้อยอีกด้วย

4 เกาะสวย น้ำใส ในเมืองไทยนั้น ยังรอให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้ไปเยี่ยมเยือน เพื่อเป็น การกระตุ้นภาคเศรษฐกิจ และสร้างสีสันให้กับสถานที่ นอกจากนี้ รับรองว่าคุณจะได้ความประทับใจจากรอยยิ้มของคนในพื้นที่ ที่รอต้อนรับอย่างแบบยิ้มสยามแน่นอน

Continue Reading

เหน็บชา สัญญาณเตือนบอกโรคที่อาจเกิดขึ้นได้กับร่างกาย

เหน็บชา สัญญาณเตือนบอกโรคที่อาจเกิดขึ้นได้กับร่างกาย

อาการเหน็บชามักเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัยและสามารถเป็นได้ทุกส่วนในร่างกายของคนเรา โดยส่วนใหญ่หลายคนมักจะไม่ใส่ใจกับอาการเหล่านี้เท่าไหร่นัก เพราะคิดว่าเป็นไม่นานก็หายไป และมักจะคิดว่าอาการเหน็บชานั้นเกิดขึ้นเพราะนั่ง นอน หรือเคลื่อนไหวผิดท่าจนทำให้รู้สึกเสียวแปล็บในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือเป็นเพียงแค่เพราะขาดวิตามิน ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ แต่ความจริงอาการเหน็บชาเป็นสัญญาณเตือนอีกอย่างหนึ่งของร่างกายที่ไม่ควรละเลย หากเป็นอยู่บ่อยครั้ง หรือเป็นที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายอยู่เป็นประจำ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายของคุณนั้นมีอาการผิดปกติได้ โดยอาการเหน็บชาที่เกิดขึ้นในอวัยวะเหล่านี้ หากเป็นแล้วอย่านิ่งนอนใจโดยเด็ดขาด ดังนี้

อาการเหน็บชาที่ปลายนิ้วมือ

อาการเหน็บชาที่ปลายนิ้วมือ แทบทุกนิ้ว อาจจะเว้นที่นิ้วก้อยที่มีอาการบ้างเล็กน้อย หรือไม่มีอาการเหน็บชาก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะเป็นในเวลากลางคืนหรือตอนตื่นนอน ทั้งนี้สันนิษฐานได้ว่าอาจเกิดขึ้นเนื่องจากเอ็นกดทับเส้นประสาทตรงบริเวณข้อมือ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพราะการใช้งานข้อมือเป็นเวลานานๆ อย่างเช่น พิมพ์งานบนแป้นคีย์บอร์ดนานๆ ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นเวลานาน คุยโทรศัพท์ หรือแม้แต่การใช้งานข้อมือหนักยกของหนักเกินไปก็ได้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่อาการนี้จะยังไม่เป็นอันตรายกับร่างกายมาก ให้พยายามลดการใช้มือข้างที่มีอาการเหน็บชานี้ลง หรือหมั่นเปลี่ยนอิริยาบถให้บ่อยขึ้นก็ได้

อาการเหน็บชาที่หลังมือ ไม่ถึงข้อมือ มักเป็นบ่อยบริเวณนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้

เกิดขึ้นจากเส้นประสาทถูกกดทับที่ต้นแขนเป็นเวลานาน จากท่านั่งที่ผิดปกติ หลีกเลี่ยงการเอาแขนพาดพนักเก้าอี้จะดีที่สุด แต่ถ้าหากมีอาการชาตั้งแต่หลังมือมาจนถึงแขนอาจเกิดการบาดเจ็บที่เส้นประสาทบริเวณรักแร้ได้เช่นกัน

อาการเหน็บชาเป็นแถบตั้งแต่แขนไปจนถึงนิ้วมือ

อย่าเพิ่งคิดว่าเพราะนอนทับแขน หรือนอนผิดท่า เพราะอาการเหน็บชาตั้งแต่แขนไปถึงปลายนิ้วมือนั้น อาจเกิดจากกระดูต้นคอเสื่อม หรือการกดทับของเส้นประสาทผิดรูป ดังนั้น หากมีอาการเหน็บชาบริเวณนี้บ่อยครั้งควรรีบไปพบแพทย์จะดีที่สุด

อาการเหน็บชาที่บริเวณฝ่าเท้า

เกิดขึ้นด้วยเพราะเส้นประสาทกดทับที่ตาตุ่มด้านในหรือตรงอุ้งเท้า ให้ลดการยืนหรือเดินนานๆ ก็ช่วยได้ แต่ต้องไม่มีอาการชาที่ขาร่วม เพราะหากมีอาการเหน็บชาที่ขาด้วย อาจเป็นเพราะเส้นประสาทกดทับบริเวณอื่นร่วมได้เช่นกัน

อาการเหน็บชาตั้งแต่สะโพกไปถึงเท้า

เป็นอาการเหน็บชาที่อันตราย เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของหมอนรองกระดูกกดทับกับเส้นประสาท หากรักษาผิดวิธีหรือปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เป็นอัมพาตได้ ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาอาการเหน็บชายังสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย ทั้งนี้การเลือกทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 หรืออาจเลือกทานวิตามินบีรวมก็ได้ เป็นการทดแทนและช่วยเสริมภูมิให้กับร่างกายได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้หากรู้สึกว่ามีอาการเหน็บชาบ่อยครั้ง และมักเป็นประจำติดต่อกันในบริเวณเดิมเกินกว่า 2 สัปดาห์ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางดีกว่า ป้องกันไว้ย่อมดีกว่ามาแก้ไขทีหลังแน่นอน

Continue Reading

ดูแลสุขภาพให้สมวัยได้ด้วยวิธีอาหารบำบัด

ดูแลสุขภาพให้สมวัยได้ด้วยวิธีอาหารบำบัด

   “กินอิ่ม นอนหลับ ขับถ่ายสะดวก หมั่นออกกำลังกาย” เป็นเหมือนการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์เราไปแล้วทั่วโลก สุขภาพร่างกายของคนเรานั้น เป็นสิ่งที่ต้องความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ยิ่งในปัจจุบันมีสิ่งที่สามารถทำให้คนเราเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ว่าจะเป็นทั้งไวรัส ทั้งสภาพอากาศ ฝุ่นควันมลภาวะที่มากขึ้นทุกที การเลือกดูแลสุขภาพร่างกายด้วยการเลือกทานอาหารให้เหมาะสมตามวัยก็มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายนั้นสามารถปรับสมดุลได้เป็นอย่างดี ทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าคนที่ทานอาหารไม่มีประโยชน์หลายเท่านัก แต่การจะเลือกทานอาหารให้เหมาะสมตามแต่ละช่วงวัยนั้น ควรเลือกทานอย่างไรให้เหมาะสม สามารถทำได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ดังนี้

วัยเด็ก

ในช่วงวัยเด็ก ตั้งแต่หย่านมจนถึงก่อนจะก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วและเป็นขั้นเป็นตอน เด็กในวัยนี้ควรได้รับสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ สามารถเน้นในส่วนของโปรตีน ไขมันดี อาหารที่ให้พลังงานสูงสามารถเน้นได้เป็นพิเศษ ทั้งนี้สำหรับเด็กเล็ก (5-12 ปี) อาจยังไม่สามารถทานอาหารได้มากนัก สามารถแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ ได้หลายมื้อ แต่เน้นอาหารที่มีประโยชน์ หรือเพิ่มผลไม้ในการให้วิตามินกับร่างกายของเด็กได้อีกด้วยฃ

วัยทำงาน หรือ วัยผู้ใหญ่

เป็นช่วงวัยที่มักจะไม่ค่อยได้ดูแลในเรื่องของอาหารการกินมากเท่าที่ควร มักจะเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 19-50 ปี การดูแลอาหารโดยลดปริมาณของไขมัน และน้ำตาล และควบคุมน้ำงหนักให้สมดุลกับส่วนสูง หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะเป็นตัวช่วยให้วัยนี้แข็งแรงสมวัยได้ไม่ยาก เว้นเสียแต่สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์จำเป็นจะต้องมีการบำรุงร่างกายเพื่อเจ้าตัวน้อยมากเป็นพิเศษ อาหารประเภทเส้นใยสูงผักผลไม้ในสัดส่วนที่มากกว่าก็จะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงสมวัยได้ ทั้งนี้การดื่มแอลกอฮอล์ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มักจะเข้าไปสะสมในร่างกายจนทำให้น้ำหนักขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และยังมีผลในการทำลายตับได้ด้วย

วัยสูงอายุ

วัยที่อวัยวะภายในของร่างกายบางส่วนอาจเสื่อมสมรรถภาพในการทำงานลง อย่างเช่น อาจจะรู้สึกย่อยอาหารได้ยากกว่าเดิม หรือแม้แต่ปวดเนื้อปวดตัวได้ง่าย เพราะระบบเผาผลาญในร่างกายนั้นเริ่มลดลง โดยธรรมชาติเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุมักจะเริ่มอาหารน้อยลง หรืออาจทานไม่มาก แค่เพียงพออิ่ม ควรเน้นอาหารประเภทเพิ่มแคลเซียมสูงเพราะเป็นวัยที่เสี่ยงกับอันตรายอย่างโรคกระดูกพรุน รวมไปถึงเน้นการดื่มน้ำเยอะๆ และทานอาหารที่เน้นกากใยมากเป็นพิเศษจะดีต่อร่างกายของคนในวัยนี้มากกว่า

อย่างไรก็ตามการดูแลสุขภาพร่างกายของคนเราในแต่ละช่วงวัยนั้น ก็ควรทำประกอบควบคู่ไปพร้อมกับการเลือกทานอาหารด้วยเช่นกัน เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย มีภูมิคุ้มกันโรคได้เป็นอย่างดีนั่นเอง

Continue Reading

ท้องเสียจากการทานอาหารในช่วงหน้าร้อนแก้ไขได้อย่างไร

ท้องเสียจากการทานอาหารในช่วงหน้าร้อนแก้ไขได้อย่างไร

ช่วงฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนจัด จนบางครั้งอาจเกิดลมพายุฝนซึ่งทำให้อากาศแปรปรวนได้ง่าย การทานอาหารในช่วงนี้มีหลายคนที่อาจจะเผลอไม่ทันระวังตัว เพราะยิ่งอากาศร้อนมากเท่าไหร่ ก็จะส่งผลให้อาหารบางชนิดที่ถ้าหากไม่เก็บรักษาให้ดี ไม่ถูกสุขลักษณะ ก็จะส่งผลให้เน่าเสียได้ง่าย หรือแม้แต่หากเผลอทิ้งไว้เพื่อนิดเดียว อากาศร้อนๆ อาจทำให้มีพาหะนำโรคอย่างแมลงวันตอมอาหาร ถ้าหากทานเข้าไปคงไม่รอดที่จะท้องเสีย ท้องร่วงเป็นแน่ หากเกิดอาการท้องเสียจากอาหารที่ทานไปในช่วงหน้าร้อนนี้ มีวิธีแก้ไขเบื้องต้นแบบง่ายๆ ก่อน ดังนี้

  1. ดื่มน้ำเยอะๆ หรือดื่มเกลือแร่

หากเมื่อเกิดอาการท้องเสียนั่นหมายถึง ร่างกายเสียน้ำอย่างมาก การดื่มน้ำตามหรือดื่มเกลือแร่จะช่วยทดแทนน้ำที่เสียไป อีกทั้งทำให้ร่างกายเกิดอาการช็อกจากการขาดน้ำ ปากแห้ง วิงเวียน ตาพร่าได้ ควรดื่มน้ำเปล่าสะอาด และเป็นน้ำอุณหภูมิห้องปกติ ดีกว่าดื่มน้ำเย็นจัดดีกว่า เพราะอาจจะยิ่งทำให้รู้สึกปวดท้องมากกว่าเดิมได้

  1. เลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนเมื่อเกิดอาการในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรก

หากเกิดอาการท้องเสีย อย่าเพิ่งทานอาหารอื่นเข้าสู่ร่างกายเพิ่ม เพื่อให้ลำไส้ได้ขับของเสียที่ทานเข้าไปออกมาก่อน หากทานอาหารเพิ่มเติมเข้าไปในระหว่างนี้ ต่อให้เป็นอาหารที่ดีก็จะยิ่งส่งผลให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานหนักกว่าเดิมไปมากกว่า

  1. โยเกิร์ตช่วยได้

โยเกิร์ตที่มีโปรไบโอติก มีเชื้อแบคทีเรียที่ดีต่อระบบการย่อยอาหารในร่างกาย นอกจากจะช่วยทำให้บรรเทาอาการท้องเสียแล้ว ยังช่วยปรับสมดุลในการทำงานของลำไส้ให้กลับมาเป็นปกติได้อีกด้วย

  1. งดเครื่องดื่มอย่างนม คาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มเหล่านี้มีส่วนทำให้ลำไส้นั้นทำงานหนัก หากเกิดอาการท้องเสียควรงดเครื่องดื่มเหล่านี้ไปก่อนอย่างน้อย 1-2 วัน ทั้งนี้ยังรวมไปถึงอาหารที่มีกากใยไฟเบอร์สูง เพราะจะยิ่งทำให้ลำไส้ต้องทำงานหนักมากไปกว่าเดิม หรืออาหารพวกพืชตระกูลถั่วที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ควรงดทานไปก่อนในระยะนี้ด้วย

  1. เลือกทานอาหารอ่อนๆ

หากเมื่ออาการดีขึ้น ให้เลือกทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่ายอย่างพวกโจ๊ก ข้าวต้ม กล้วย แครกเกอร์ จะช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย และลำไส้ไม่ทำงานหนักมากเกินไป

ทั้งนี้อย่าเลือกทานยาหยุดถ่าย เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายขับของเสียออกจากร่างกายไม่หมด แต่ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ หากท้องเสียติดต่อกันเกินกว่า 24 ชั่วโมงควรรีบไปหาหมอทันที หรืออาจใช้ยาจำพวกยาคาร์บอน ที่มีลักษณะเป็นผงถ่านสีดำ จะช่วยในการดูดซับพิษของเสียในร่างกายได้เช่นกันด้วย

 

Continue Reading

วิธีดูแลผิวพรรณให้สดชื่น ไม่ขาดน้ำในภาวะอากาศร้อนจัด

วิธีดูแลผิวพรรณให้สดชื่น ไม่ขาดน้ำในภาวะอากาศร้อนจัด

ประเทศไทยนั้น เป็นประเทศที่แทบจะมีอากาศร้อนตลอดแทบทั้งปี เพราะด้วยตั้งอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรของโลก ยิ่งเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการด้วยแล้ว มักจะมีอากาศร้อนจัด แดดแรง จนถึงขั้นทำให้ไม่สบายจนล้มหมอนนอนเสื่อไปได้ก็มี หลายคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสภาพอากาศร้อนจัด แดดแรงได้ เพราะจำเป็นต้องออกไปใช้ชีวิตประจำวัน หรือไปทำงานกลางแดดเป็นเวลานานๆ ก็มักจะส่งผลเสียทำให้ผิวพรรณดูไม่สดชื่น แห้งเหมือนผิวขาดน้ำ หากโดนแดดจัดเป็นเวลานาน จะทำให้ผิวไหม้ แสบร้อนได้ ดังนั้น วิธีที่จะช่วยดูแลผิวพรรณของร่างกายให้สดชื่น หากจำเป็นต้องเป็นกับภาวะอากาศร้อนจัด แดดแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีดังนี้

  1. ดื่มน้ำเยอะๆ

เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เบสิคที่สุด เพราะยิ่งเจอความร้อนมากเท่าไหร่อุณหภูมิของร่างกายจะยิ่งสูงมากขึ้นเท่าไหร่ และยังทำให้ร่างกายเสียน้ำเป็นจำนวนมาก การดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ นอกจากจะช่วยทดแทนน้ำที่ร่างกายเสียไปแล้ว ยังทำให้อุณหภูมิในร่างกายได้ปรับสภาพลง ทำให้ร่างกายไม่ตกอยู่ในภาวะช็อคจากอากาศร้อนจัด และทำให้ผิวพรรณดีได้อีกด้วย

  1. น้ำมันมะกอกเคลือบผิว

น้ำมันมะกอกนอกจากจะช่วยขจัดสารพิษ และสิ่งตกค้างตามรูขุมขนจากผิวได้แล้ว ยังมีส่วนช่วยสำคัญในการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวพรรณได้ คล้ายกับเก็บกักความชุ่มชื่นไว้ที่ผิวหนังแม้ในวันที่ต้องเจอกับแดดจัดก็ตาม โดยหมั่นทาที่ผิวทุกคืนก่อนนอน จะเป็นการช่วยทำให้กลับมาดูอิ่มน้ำ สุขภาพดีได้ง่ายๆ ด้วย

  1. ขัดผิวอย่างเป็นประจำ

เหงื่อไคลในช่วงหน้าร้อนมักจะมีอยู่บ่อยๆ ทำให้กลายเป็นคราบขี้ไคลที่มักจะไปอุดตันที่ผิวหนังในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย การขัดผิวด้วยสครับ อยู่สม่ำเสมอจะช่วยทำให้ผิวพรรณสะอาดแล้ว ยังทำให้ผิวสดใส ไม่ว่าจะทาครีมโลชั่นอะไรก็ซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย ทั้งนี้หากโดนแสงแดดเผาอย่างรุนแรงอาจทำให้ผิวแสบร้อน ให้ลองใช้วิธีภูมิปัญญาชาวบ้านโดยการนำว่านหางจระเข้ปอกเปลือก แล้วล้างให้สะอาด มาประคบกับผิวหนังบริเวณที่ถูกแดดเผาก็ช่วยได้ไม่แพ้กัน

  1. ผักผลไม้วิตามินที่ขาดไม่ได้

การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่สำหรับผักผลไม้นั้น ถือเป็นอาหารผิวที่มีวิตามินบำรุงช่วยทำให้ผิวไม่แห้ง ดูสดใสแม้จะต้องเจอกับสภาวะอากาศที่ไม่เป็นใจในแต่ละวันมากนักก็ตาม การทานผักผลไม้อย่างเป็นประจำส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน

การดูแลผิวพรรณให้ดีเหมาะสมกับแต่ละฤดูกาลนั้น สามารถทำได้ตลอดทุกวัน เป็นการดูแลจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างเต็มที่ สุขภาพผิวดี สุขภาพกายดี สุขภาพใจดี เท่านี้ก็มีความสุขได้เต็มที่อยู่แล้ว

 

Continue Reading

อาการตากระตุกเกิดขึ้นจากอะไร แก้ไขได้อย่างไร

อาการตากระตุกเกิดขึ้นจากอะไร แก้ไขได้อย่างไร

 

“ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” ยังเป็นคำที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยอยู่เสมอ ดวงตาจึงถือเป็นอวัยวะสำคัญของมนุษย์ที่ต้องหมั่นดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ จนบางครั้งเราอาจลืมคิดไปว่าการใช้สายตามากเกินไปในแต่ละวันไม่ว่าจะเกิดจากการทำงานหน้าจอนานๆ หรือการใช้สายตาเป็นเวลานานๆ ติดต่อกันอย่างเช่น การขับรถทางไกล เป็นต้น ย่อมจะส่งผลกระทบต่อดวงตา จนเกิดอาการตากระตุกที่มักจะถูกเกี่ยวโยงไปยังเรื่องของโชคลาง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วอาการตากระตุกเป็นเหมือนสัญญาณเตือนอีกอย่างหนึ่งของร่างกายที่เกี่ยวกับสุขภาพของดวงตานั่นเอง

อาการตากระตุกแบบทั่วไปมักจะมีการกระตุกเล็กน้อยไปจนถึงอาการผิดปกติที่กระตุกทั้งวัน จนสร้างความรำคาญใจ และอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้อีกด้วย โดยอาการตากระตุกนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  1. การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นปัจจัยหลักสำคัญที่มักจะเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สายตาทำงานหนัก อย่างการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือแม้แต่การจ้องจอดูหนังหรือซีรี่ย์ติดต่อกันนานหลายชั่วโมง ล้วนแต่ส่งผลต่อดวงตาได้ทั้งสิ้น
  1. แสงแดด ลมแรง การมองแดดแรงหรือเจอลมแรงปะทะหน้า และดวงตา จนทำให้ตาแห้งก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการตากระตุกได้เช่นกัน
  1. ความเครียด วิตกกังวล หากเป็นช่วงที่มีความเครียดไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ร่างกายมักจะเกิดเอฟเฟคต่างๆ อาการตากระตุกก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของร่างกายที่แสดงออกมาได้เช่นกัน
  1. เกิดจากปัจจัยภายในร่างกาย อาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด รวมไปถึงกล้ามเนื้อบริเวณดวงตาทำงานผิดปกติ ทั้งนี้อาจเสี่ยงต่อโรคอัมพาตทางใบหน้าได้เช่นกัน

หากรู้สึกว่าเกิดอาการตากระตุกอยู่บ่อยครั้ง สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง โดยวิธีง่ายๆ ดังนี้

นวดดวงตา คลึงเบาๆ เป็นเวลา 30 วินาทีพัก และหมั่นไปเรื่อยๆ ประมาณ 2-3 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณรอบดวงตา และเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อรอบดวงตา

สลับน้ำอุ่นและน้ำเย็นพรมรอบดวงตา เป็นการกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของหลอดเลือดรอบดวงตา โดยใช้สำลีชุบน้ำอุ่นพอหมาดเช็ดวนบริเวณรอบดวงตา และสลับใช้น้ำเย็นชุบสำลีพอหมาดเช็ดวนบริเวณรอบดวงตาซ้ำ ทำสลับกัน 9-10 รอบ จะช่วยหยุดอาการตากระตุกได้

น้ำตาเทียมช่วยได้ เมื่อเกิดอาการตาแห้งมักจะทำให้มีอาการตากระตุก น้ำตาเทียมจะช่วยทำให้ดวงตามีความชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้น และทำให้ดวงตาสดใสขึ้นด้วย

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงลดเครื่องดื่มจำพวกคาเฟอีนให้น้อยลง ก็เป็นส่วนช่วยสำคัญที่จะทำให้ดวงตาทำงานน้อยลง มีเวลาได้พักผ่อนมากขึ้น และยังส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายด้วย

อย่างไรก็ตามอาการตากระตุกนั้น หากเป็นติดต่อกันนานเกินกว่า 1 สัปดาห์ และมีอาการผิดปกติอื่นร่วมเข่น ตาบวม ตาแดง หรือมีขี้ตามากผิดปกติ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที เพื่อให้แพทย์ได้ตรวจเช็คอย่างละเอียดต่อไป จะดีที่สุด

Continue Reading